กรมสุขภาพจิต เผยปัญหา “เด็กรังแกกันในร.ร.ของไทย” ติดอันดับ 2 ของโลก ชี้สังคมควรเร่งใส่ใจ แก้ไขปัญหา


กรมสุขภาพจิต เร่งพัฒนาโปรแกรมป้องกันเด็กรังแกกันในโรงเรียนระดับประถมศึกษา สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในโรงเรียน คาดพร้อมใช้ในปีการศึกษาหน้า  เผยขณะนี้ปัญหาเด็กรังแกกันในโรงเรียนของไทยสูงถึงร้อยละ4ติดอันดับ 2 ของโลก พบปีละประมาณ 6 แสนคน  มีการรังแกกันผ่านสื่อออนไลน์ สังคมควรเร่งใส่ใจ ย้ำปัญหานี้ส่งผลกระทบระยะยาว เป็นการปลูกฝังเด็กเรื่องความรุนแรง ทำร้ายกัน เด็กที่เป็นผู้กระทำอาจเป็นผู้ใหญ่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา เป็นอันธพาล อาชญากรได้
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต  กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า  ขณะนี้สถานการณ์การรังแกกันในโรงเรียนมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น  ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยอย่างที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่เข้าใจ   เด็กที่รังแกกันมีตั้งแต่ระดับอนุบาล  และที่น่าห่วงคือขณะนี้เด็กเข้าถึงสื่อโซเซียลง่าย     พ่อแม่และครูมีเวลาให้เด็กน้อย เด็กเรียนรู้ความรุนแรงจากเกม สื่อต่างๆและไปใช้กับเพื่อน เด็กจำนวนมากกำลังเผชิญการถูกรังแก ล้อเลียน ส่งผลให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล ไม่อยากไปโรงเรียนมากขึ้น   และยังพบปัญหาใหม่มีการรังแกกันผ่านสื่อออนไลน์ทั้งการใช้ข้อความ ภาพ หรือวิดีโอคลิปบนโลกอินเตอร์เน็ตด้วย
ข้อมูลผลการสำรวจในโครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด พบว่ามีเด็กถูกรังแกในสถานศึกษาปีละประมาณ 6 แสนคน  ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในอันดับ 2 ของโลกที่มีสัดส่วนนักเรียนถูกรังแกจากเพื่อนนักเรียนด้วยกันสูงถึงร้อยละ 40  รองจากประเทศญี่ปุ่น   ขณะที่ในปี 2553 การสำรวจนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศพบว่าร้อยละ 33 เคยรังแกผู้อื่นทางออนไลน์   อีกร้อยละ43 บอกเคยถูกคนอื่นรังแก 
“การรังแกกันหรือล้อเลียนกันในโรงเรียน  เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นการปลูกฝังเด็กเรื่องความรุนแรง การทำร้ายกัน มีผลกระทบต่อเด็กทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งอารมณ์จิตใจร่างกายและคุณภาพชีวิตในระยะยาว   นักเรียนที่ถูกรังแกมักเครียด ซึมเศร้า  มีปัญหาการเข้าสังคมจนโต หากถูกกดดันรุนแรงหรือเรื้อรัง จะนำไปสู่การทำร้ายคนอื่นเพื่อแก้แค้น หรือทำร้ายตนเอง รุนแรงถึงฆ่าตัวตาย    ขณะที่นักเรียนที่รังแกคนอื่น เมื่อทำบ่อยครั้งจนกลายเป็นนิสัยเคยชิน จะมีปัญหาบุคลิกภาพแบบใช้ความก้าวร้าว ความรุนแรงต่อผู้อื่น ความรู้สึกผิดน้อย  ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา เป็นอันธพาล อาชญากรได้   สังคมจึงต้องช่วยกันใส่ใจ เร่งสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทั้งที่บ้านและโรงเรียน เพื่อลดการสูญเสียคุณภาพประชากรในสังคมที่เกิดจากผลกระทบปัญหานี้ในระยะยาว”  อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว  
ทางด้านแพทย์หญิงมธุรดา  สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม.กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันฯ อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาโปรแกรมป้องกันการรังแกกันในโรงเรียนที่สอดคล้องกับบริบทโรงเรียนไทย โดยจะเน้นที่กลุ่มเด็กระดับชั้นประถมศึกษา อายุ 6-13 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยของการเรียนรู้เรื่องเพื่อน การพัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาการด้านศีลธรรมและการอยู่ในสังคมที่สำคัญ 
           โครงการพัฒนาโปรแกรมครั้งนี้ มุ่งเน้นเพื่อการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ที่เหมาะกับบริบทไทย สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถาวร มีความเชื่อมต่อระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับสถานศึกษา ครู ผู้บริหารโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น  คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์แบบ พร้อมใช้ทั่วประเทศในปีการศึกษาหน้านี้”  แพทย์หญิงมธุรดากล่าว    
แพทย์หญิงมธุรดากล่าวอีกว่า ในการลดปัญหาการรังแกในโรงเรียน จะต้องให้ความสำคัญทั้งกลุ่มเด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงถูกรังแกสูงด้วย เช่น เด็กที่มีปัญหาพัฒนาการช้า เด็กพิการ กลุ่มเด็กนักเรียนเพศทางเลือก ซึ่งมีรายงานมักถูกรังแกมากเป็นพิเศษ และเด็กกลุ่มที่ครอบครัวมีการใช้ความรุนแรง หรือเด็กที่ป่วยโรคทางจิตเวช เช่น สมาธิสั้น ซึ่งมักพบว่าเป็นเด็กกลุ่มที่เป็นผู้รังแก   ทั้งนี้ที่ผ่านมาประเทศไทยเองมีต้นทุนการดำเนินงานในเรื่องนี้อยู่บ้างแล้วจากองค์กรแพธทูเฮ้ลท์

 ( PATH2HEALTH)  ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ และสสส. แต่ยังเป็นการดำเนินงานนำร่องในบางโรงเรียน

ความคิดเห็น